หัวข้อ
- #คืนผลประโยชน์ให้ผู้ถือหุ้น
- #โครงสร้างการกำกับดูแลกิจการ
- #สหรัฐอเมริกา
- #ผลตอบแทน
- #ตลาดหุ้น
สร้าง: 2024-04-03
สร้าง: 2024-04-03 13:03
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่นักลงทุนรายย่อยมักทำกันคือ การคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ไร้สาระ แต่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ลึกซึ้งอะไรนักถ้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญขนาดนั้น แล้วทำไมผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนซึ่งมีอัตราการเติบโตของ GDP เกือบ 3 เท่าของยูโรโซนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถึงได้ต่ำกว่ายูโรโซนล่ะ?
สาเหตุนั้นก็เพราะว่า ในกระบวนการที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) จะกลายเป็นผลตอบแทนของตลาดหุ้นนั้น มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ 1) การเติบโตของรายได้ (Top-line growth) ของบริษัทจดทะเบียน 2) อัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียน 3) นโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน และ 4) มูลค่าตลาด (Valuation) ของตลาดหุ้นนั้นๆ
ถ้าอย่างนั้นลองมาดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นในแต่ละประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยแยกย่อยตามปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นดูบ้างดีกว่าจุดแข็งหลักของสหรัฐอเมริกาที่เหนือกว่าประเทศอื่นๆ คืออะไร? ไม่ใช่อัตราการเติบโตของ GDP แต่เป็นการปรับปรุงอัตรากำไรของบริษัท และการเพิ่มมูลค่าผ่านนโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้น
ส่วนญี่ปุ่นล่ะ? อัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาอย่างมาก และมูลค่าตลาดก็ลดลงด้วย แต่ว่าอัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และนโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นก็ดีขึ้นกว่าเดิม
ยูโรโซนนั้น ทั้งอัตราการเติบโตของ GDP และการเติบโตของรายได้ (Top-line growth) ของบริษัทก็อยู่ในระดับที่ซบเซา แต่การปรับปรุงอัตรากำไรและนโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นช่วยชดเชย จึงทำให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับปานกลาง
จีนที่มีอัตราการเติบโตของ GDP สูงสุดนั้น มีปัญหาอะไร? คุณจะเห็นแท่งสีแดงที่ลดลงอย่างมากในกราฟ ซึ่งตรงกับอะไร? จำนวนหุ้นที่ลดลง เนื่องจากเป็นค่าลบ จึงหมายความว่าจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มูลค่าของผู้ถือหุ้นลดลง
แล้วเกาหลีใต้ล่ะ? มีรูปแบบคล้ายกับจีน อัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่าจีน และจำนวนหุ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่มากเท่าจีนก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร? ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ในอันดับท้ายสุดในบรรดาประเทศหลักๆ
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาคืออะไร? อันดับ 1 คือ มูลค่าตลาด (Valuation) อันดับ 2 คือ อัตรากำไร และอันดับ 3 คือ นโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ในอันดับ 5
ถ้าขยายช่วงเวลาออกไปเป็น 5 ปีล่ะ? อันดับ 1 คือ อัตรากำไร อันดับ 2 คือ นโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ในอันดับ 4
สุดท้ายนี้ ถ้าดูในช่วง 10 ปี อันดับ 1 คือ นโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้น อันดับ 2 คือ อัตรากำไร ส่วนอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ในอันดับ 3 นั่นหมายความว่า การลงทุนระยะยาวสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร? การกำกับดูแลกิจการ (Governance) นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ไม่มีใครมองตลาดหุ้นเกาหลีใต้เป็นเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
สหรัฐอเมริกาปรับปรุงอัตรากำไร และเสริมสร้างนโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้น ยิ่งยืนยันว่าเป็นราชอาณาจักรแห่งทุนนิยมอย่างแท้จริง
ยูโรโซนปรับปรุงอัตรากำไร แต่ละเลยนโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้น และเพิ่งเริ่มปรับปรุงในช่วงไม่กี่ปีมานี้
จีนพิมพ์หุ้นออกมาอย่างไม่ยั้ง และเมื่อไหร่ที่ธุรกิจเริ่มมีกำไร ทุกคนก็จะแห่กันเข้าไปลงทุน ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงและอัตรากำไรลดลง เป็นภาพสะท้อนของประเทศกำลังพัฒนาที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่
เกาหลีใต้ล่ะ? ถ้าพิจารณาเฉพาะตลาดหุ้นแล้ว ไม่ได้ดีกว่าจีนมากนัก นั่นหมายความว่า มูลค่าตลาดในปัจจุบันไม่ได้ถูกประเมินต่ำเกินไป แต่เป็นมูลค่าที่เหมาะสม
เหตุผลที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นแสดงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้คืออะไร? เพราะอัตรากำไรปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่นโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ นักลงทุนรายย่อยอาจจะคิดว่า สหรัฐอเมริกาสุดยอดไปเลย ต้องลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาต่อไปเรื่อยๆแต่สิ่งที่น่าเศร้าสำหรับนักลงทุนรายย่อยคือ มีโอกาสสูงที่หุ้นสหรัฐอเมริกาจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีเหมือน 10 ปีที่ผ่านมา
เพราะในระยะสั้น บริษัทต่างๆ ที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความจริงแล้ว อาจจะไม่สามารถดำเนินนโยบายการคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างที่เคยทำ และในระยะยาว ปัจจัยต่างๆ ที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาทำผลตอบแทนได้ดีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มที่จะแย่ลงผลตอบแทนจริง (หลังหักเงินเฟ้อ) ของดัชนี S&P 500 ในช่วง 30 ปี ตั้งแต่ปี 1989 ถึงปี 2019 อยู่ที่ 5.5% แต่ในอนาคต? คงจะยากที่จะเกิน 2%
ในสถานการณ์แบบนี้ เราควรทำอย่างไร?
อย่าเพิ่งหลงไปกับความหวังลมๆ แล้งๆ แต่จงยอมรับสถานการณ์อย่างที่เป็นจริง และมีทัศนคติเชิงบวก
<br data-cke-filler="true">
ความคิดเห็น0