หัวข้อ
- #นักลงทุนรายบุคคล
- #ความน่าจะเป็น
- #การตีความตามอำเภอใจ
- #การลงทุนเน้นคุณค่า
- #เชิงบวก
สร้าง: 2024-04-03
สร้าง: 2024-04-03 13:24
ในช่วงนี้ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ดูเหมือนจะพยายามดึงดูดนักลงทุนรายย่อยอย่างมาก สถานการณ์แบบนี้สร้างความสับสนให้กับนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเริ่มลงทุนมากที่สุด แต่ที่จริงแล้ว นักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเริ่มต้นนั้นมีความเป็นไปได้มากมาย
เพราะว่า การลงทุนก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ ในโลกนี้ การเริ่มต้นด้วยนิสัยที่ดีและวิธีการที่ดีในการเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้น นักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเริ่มต้นจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่านักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ที่ติดนิสัยที่ไม่ดีและพึ่งพาความรู้ที่ไม่แน่นอนผมมีสิ่งที่อยากจะบอกกับนักลงทุนรายย่อยเหล่านั้น
1) การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ในที่สุดก็คือการซื้อในตลาดที่มีโอกาสผิดพลาด 10% ในระยะสั้น แล้วขายในตลาดที่มีโอกาสผิดพลาด 1% ในระยะยาว
คนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ส่วนใหญ่คงจะไม่สนใจการลงทุนแบบตามกระแส (Trend Following) และต้องการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) แน่นอนว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นยากที่จะนิยาม และตัวผมเองก็ยังคงคิดอยู่ แต่ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า แล้วขายในราคาที่ใกล้เคียงกับมูลค่า (หรือถ้าโชคดีก็อาจจะขายได้ในราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย?)
มันจะกลับกันได้ไหม? ได้สิ ขายในราคาที่สูงกว่ามูลค่า แล้วซื้อคืนในราคาที่ใกล้เคียงกับมูลค่า เรียกว่า การขายชอร์ต (Short Selling) แต่ผมแนะนำให้ผู้เริ่มต้น (Beginner) ลืมเรื่องการขายชอร์ตไปเลย งั้นเราลองพิจารณาเฉพาะในมุมมองของการถือครอง (Long) แล้วกัน ในจุดนี้ อาจจะมีคำถามหนึ่งเกิดขึ้น ราคาหุ้นจะต่ำกว่ามูลค่าเมื่อไหร่? สำหรับคนที่เคยเรียนวิชาการเงินในคณะบริหารธุรกิจ คงจะเคยได้ยินเรื่องสมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis) เหตุผลที่มันเป็นสมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis) ไม่ใช่ทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Market Theory) ก็เพราะว่ามันยังไม่ถูกพิสูจน์ และนั่นก็หมายความว่า โอกาสในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ยังมีอยู่ในตลาด
แล้วโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีมากน้อยแค่ไหน?ผมคิดว่า โอกาสที่ตลาดจะผิดพลาด หรือราคาหุ้นจะเบี่ยงเบนจากมูลค่าอย่างมาก ในระยะสั้นอยู่ที่ประมาณ 10% และในระยะยาวน้อยกว่า 1%ตลาดในช่วงนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับโอกาส 10% ในระยะสั้น อาจจะสูงขึ้นเล็กน้อยหลังจากเกิดโรคระบาด แต่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI และ KOSDAQ) มีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 2,500 บริษัท ถ้าเราลองดูราคาหุ้นและพื้นฐานของแต่ละบริษัทดู จะมีสัดส่วนของบริษัทที่มีความเบี่ยงเบนที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิน 10% หรือไม่? ถ้ามีเกิน 10% การทำกำไรจากการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) จะง่ายมาก แต่ทำไมเราถึงหาคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ได้ยากจัง?
ดังนั้น เพื่อที่จะทำกำไรจากการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) เราต้องทำสิ่งที่ง่ายๆ นั่นคือ 'หาโอกาสที่ตลาดจะผิดพลาดในระยะสั้น 10% แล้วซื้อ -> รอจนกระทั่งโอกาสที่ตลาดจะผิดพลาดลดลงเหลือ 1% ในระยะยาว แล้วขาย' ทำซ้ำแบบนี้ ประโยคนี้ดูง่ายๆ แต่ผมใส่ความคิดของผมลงไปเยอะพอสมควร ลองคิดดูว่าตัวเลข 10% ในระยะสั้นและ 1% ในระยะยาวมีความหมายอย่างไร และความสัมพันธ์ระหว่าง 10% ในระยะสั้นกับ 1% ในระยะยาวคืออะไร
จากจุดนี้ อาจจะมีคำถามเกิดขึ้นอีกว่า ถ้าเราหาโอกาส 10% ในระยะสั้นได้แล้ว แต่ดันไปเจอโอกาส 1% ในระยะยาวล่ะ? นั่นคือ เราซื้อหุ้นแล้วรอเป็นเวลานาน แต่ดวงซวย (หรือเปล่า?) ตลาดโง่ ไม่รู้จักมูลค่าของหุ้นที่เราซื้อไว้ จะทำยังไง? คำตอบอยู่ที่ข้อ 2
2) อย่าตีความตามอำเภอใจ ให้ตัดสินจากสิ่งที่เห็น แล้วใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น
การไม่ตีความตามอำเภอใจและตัดสินจากสิ่งที่เห็นหมายถึงอะไร? หมายความว่า เราต้องคิดเฉพาะสิ่งที่ชัดเจน และสิ่งที่ไม่ชัดเจนก็ปล่อยให้มันเป็นไป
เนื่องจากลักษณะงานของผม ผมจึงลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียน (Unlisted Stock) นอกเหนือจากหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียน (Unlisted Stock) มีสภาพคล่องต่ำ ดังนั้น หุ้นที่ไม่ได้เป็นหุ้นใหม่ (New Shares) มักจะมีผู้ขายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหาร แน่นอนว่า เมื่อเจอดีลแบบนี้ คำถามแรกที่เกิดขึ้นคือ? "ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหารขายหุ้นทำไม?"
คำตอบมีหลากหลาย อาจจะเป็นเพราะบริษัทมีปัญหา ต้องกู้เงินมาดำเนินธุรกิจจนเป็นหนี้สินมาก หรืออาจจะเป็นเพราะปัญหาภาษีจากการรับมรดก/การให้ของขวัญ หรือบางทีก็พูดตรงๆ ว่าเหนื่อยแล้ว อยากได้เงินสดไปซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ หรือรถคันหรูๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี (Case by Case) และมูลค่าของบริษัทในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี (Case by Case) เช่นกัน นั่นหมายความว่า การยกตัวอย่างกรณีศึกษาบางกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นแต่ราคาหุ้นกลับขึ้นไป แล้วสรุปว่าการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ใช่ปัญหา เป็นเรื่องไร้สาระ (Bullshit) เพราะถ้าคิดแบบนั้น กรณีที่เป็นปัญหาจะมีมากกว่าเยอะ
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้นมีมากมายและหลากหลาย ทั้งปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomics) และปัจจัยภายในอย่างศักยภาพของบริษัทและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม แม้แต่กรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้น ก็ยังมีหลายกรณี เช่น PE ซื้อกิจการ (Buyout) นักลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Investor) ซื้อเพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน (Synergy) หรือไม่มีใครอยากซื้อเลย เลยต้องโยนหุ้นออกสู่ตลาด ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างกันไป
เราจะตัดสินและคาดการณ์กรณีต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร? ผมไม่รู้ดังนั้น เราแค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เป็น การปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เป็นคืออะไร? นั่นคือหลักการ หลักการอะไร? หลักการที่ว่าการซื้อหุ้นคืน (Buyback) เป็นสัญญาณที่ดี และการขายหุ้น (Sell) เป็นสัญญาณที่ไม่ดี เมื่อนักลงทุนตัดสินใจลงทุน โดยที่ไม่ได้ต้องการเข้ามาควบคุมบริษัท แต่ต้องการเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดคือ ความสอดคล้องของผลประโยชน์ (Alignment of Interest) ระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหารกับนักลงทุนรายย่อย จดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ แล้วส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามแต่ละกรณี (Case by Case) การที่มันเป็นไปตามแต่ละกรณี (Case by Case) หมายความว่า แม้ว่าผลประโยชน์จะสอดคล้องกัน ผลลัพธ์ก็อาจจะไม่ดี และในทางกลับกัน แม้ว่าผลประโยชน์จะไม่สอดคล้องกัน ผลลัพธ์ก็อาจจะดีได้ ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่เราต้องการคืออะไร? นั่นคือ การคิดแบบใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น
3) 'ความคิดเชิงบวก ≠ ความหวัง' ความคิดเชิงบวกคือการยอมรับในสิ่งที่เป็น
ถ้าบทความแรกที่นักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเริ่มต้นควรอ่านคือ การคิดแบบใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น แล้วบทความที่สองล่ะ?
ก็คือบทความเกี่ยวกับความคิดเชิงบวกคนส่วนใหญ่ยังคงคิดว่า 'ความคิดเชิงบวก = ความหวัง' ดังนั้น จึงใช้คำว่า 'ความหวัง' ในที่ที่ควรใช้คำว่า 'ความคิดเชิงบวก' และใช้คำว่า 'ความคิดเชิงบวก' ในที่ที่ควรใช้คำว่า 'ความหวัง'
ความคิดเชิงบวกไม่ใช่ความหวัง แต่เป็นการยอมรับในสิ่งที่เป็น อย่างที่กล่าวไปในข้อ 2 การไม่ตีความตามอำเภอใจและยอมรับในสิ่งที่เป็นคือความคิดเชิงบวกดังนั้น ถ้าสถานการณ์ดี ก็ให้มองในแง่ดี (Optimistic) นั่นคือความคิดเชิงบวก และถ้าสถานการณ์ไม่ดี ก็ให้มองในแง่ร้าย (Pessimistic) นั่นคือความคิดเชิงบวกปีที่แล้ว ในตลาดหุ้น มีคนคิดว่า 'สักวันเงินเฟ้อก็จะลดลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็จะลดอัตราดอกเบี้ย มูลค่าของตลาดหุ้นก็จะฟื้นตัว' คนเหล่านี้เป็นคนที่คิดเชิงบวกหรือเปล่า? ไม่ใช่ พวกเขาเป็นแค่คนที่มีความหวังที่ไร้สาระเท่านั้น
แล้วบางคนอาจจะพูดว่า การลงทุนในหุ้นนั้นสุดท้ายแล้วต้องทำกำไรจากการถือครอง (Long) ไม่ใช่การขายชอร์ต (Short) การมองโลกในแง่ดี (Optimistic) จึงดีกว่าการมองโลกในแง่ร้าย (Pessimistic) จริงหรือไม่?
การพลาดช่วงเวลา 10 วันที่มีอัตราผลตอบแทนสูงสุดนั้นดีกว่าการหลีกเลี่ยงช่วงเวลา 10 วันที่มีอัตราการลดลงสูงสุด ในแง่ของผลตอบแทนทบต้น (Compounding) เพราะความผันผวน (Volatility) ในทิศทางขาลงมากกว่าขาขึ้น คนที่มักมีความหวัง (Hopeful) มักจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผันผวน (Volatility) ในทิศทางขาลง และได้รับผลกระทบเต็มๆ จนทำให้ผลตอบแทนทบต้น (Compounding) ในระยะยาวลดลง
แล้วถ้าเราใช้ประโยชน์จากความผันผวน (Volatility) ในทิศทางขาลง เราจะได้ผลตอบแทนมากขึ้น ทำไมถึงไม่แนะนำให้ขายชอร์ต (Short) ล่ะ?เพราะมนุษย์มักจะมองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น และติดอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง เมื่อขายชอร์ต (Short) แม้ว่าตลาดจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนไปมองในแง่ดี (Optimistic) ได้ ดังนั้น การมีเงินสดสำรองที่เหมาะสม แล้วค่อยๆ ซื้อหุ้นทีละส่วน (Staggered Purchase) เมื่อตลาดใกล้ถึงจุดต่ำสุดจึงเป็นวิธีที่ดีกว่าอย่างที่กล่าวไปแล้ว ข้อดีที่สุดของการลงทุนในหุ้นคือ โอกาสในการทำกำไร (Upside) มากกว่าโอกาสที่จะขาดทุน (Downside) และหุ้น 1 ตัวที่ทำกำไรได้มากสามารถชดเชยการขาดทุนจากหุ้น 5 ตัวที่ขาดทุนได้ แล้วการบริหารความเสี่ยงล่ะ? อย่างที่บอกไปแล้ว ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น การใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นคืออะไร? ไม่ว่าจะมั่นใจแค่ไหนก็อย่าลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตัก (All-in) นั่นเอง
ความคิดเห็น0